ประเภทของไม้
ประเภทไม้มีให้เลือกทั้งไม้ในประเทศเอง หรือไม้จากต่างประเทศ โดยการเลือกไม้นั้น จำเป็นต้องเลือกชนิดไม้ คุณภาพหรือคุณสมบัติของไม้ให้เหมาะสมกับประเภทงานอย่างเช่น การเลือกไม้เนื้ออ่อนมาใช้เป็นไม้โครงสร้างอาจจะเกิด การบิ่นหักได้ง่าย หรือการเลือกประเภทไม้ที่มีผิวไม้สัมผัสหยาบลายไม่สวยมาใช้เป็นส่วนตกแต่ง ก็คงดูไม่สวยงามแน่ ๆ จึงควรเลือกนำไม้มาใช้อย่างเหมาะสมเพื่อช่วยให้ไม่มีความคงทน ดูแลรักษาง่ายและมีอายุการใช้งานได้ยาวนานเพราะฉะนั้นก่อนที่จะเลือกไม้มาใช้ในงานไม่ว่าจะเป็นงานประเภทไหนก็ตามควรศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับประเภทไม้ต่าง ๆ ให้ถี่ถ้วนเสียก่อน
ไม้ในประเทศ
ภูมิอากาศในบ้านเราส่งผลต่อลักษณะและคุณสมบัติของไม้ในประเทศไทยซึ่งอยู่ในเขตโซนร้อน ทำให้ไม้มีสีเข้ม สีแดงหรือสีน้ำตาลเข้ม และส่วนใหญ่ก็จะเป็นไม้เนื้อแข็ง แตกต่างจากไม้ในโซนยุโรป ซึ่งไม้มีสีไม่เข้มมากเท่าบ้านเราหรือส่วนใหญ่นั้นจะเป็นไม้สีอ่อน ซึ่งจะแบ่งชนิดของไม้ออกได้เป็น ไม้เนื้อแข็ง และไม้เนื้ออ่อน ซึ่งลักษณะคุณสมบัติการนำไปใช้งานก็จะแตกต่างกันไปตามแต่ละชนิดของไม้เช่นเดียวกัน
ไม้เนื้อแข็ง
ไม้ชนิดนี้จะมีวงปีมากกว่าไม้ชนิดอื่น เนื่องจากระยะเวลาเติบโตช้าและไม้ต้องมีอายุมากถึงจะนำมาใช้งานได้ ไม้ชนิดนี้ส่วนใหญ่จะมีเนื้อไม้ที่มีสีเข้ม มีความเหนียวและแข็งแรงมาก จึงมีความทนทานสามารถนำมาใช้กับงานภายนอกที่ต้องตากแดดตากฝนได้ดี ถึงแม้ว่าไม้เนื้อแข็งจะมีข้อดีคือ แข็งแรงและทนทาน แต่ก็มีข้อเสีย คือ อาจเกิดการบิดตัวของไม้เมื่อเวลาเกิดความชื้น ความร้อน หรืออุณหภูมิเกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้ไม้หดและขยายตัวได้ ซึ่งไม้เนื้อแข็งทุกชนิด ส่วนใหญ่ก็จะเกิดการบิดตัวเล็กๆน้อยๆเป็นเรื่องปกติเช่นเดียวกันโดยไม้ที่นิยมใช้ในบ้านเรา มีดังนี้
ไม้เต็ง
ไม้มีสีน้ำตาลอ่อน ถ้าตัดทิ้งไว้นานสีจะเข็มขึ้นเนื้อไม้มีความแข็งมากทำให้ไสและตัดแต่งได้ยากไม่นิยมใช้สำหรับงานภายในเนื่องจากผิวหยาบและเสี้ยนลายไม้ไม่ค่อยสวยงามจึงไม่นิยมใช้กับงานโครงสร้างที่ไม่ต้องการความสวยงามมาก เช่น เสา คาน ตง วงกบ ประตู หน้าต่าง เหมาะที่จะใช้กับงานภายนอกเป็นหลักเนื่องจากทนสภาพดินฟ้าอากาศได้ดี
2. ไม้แดง
ลักษณะไม้มีสีน้ำตาลเข้มอมแดง ผิวลายไม้มีความชัดเจน เนื้อไม้มีความแข็งแรงทนทาน มีราคาแพง และ ด้วยสัมผัสผิวลาย สีสันของไม้ที่มีความสวยงาม ทำให้นิยมนำมาใช้ในส่วนประกอบโครงสร้างที่เห็นได้ชัด อย่างเช่น พื้นวงกบประตู หน้าต่าง แต่ไม่นิยมนำมาทำเฟอร์นิเจอร์ เพราะเนื้อไม้มีความแข็งทำให้ขัดแต่งได้ยาก
3. ไม้มะค่า
ลักษณะไม้มีสีน้ำตาลเข้มอมส้ม ไม้มะค่าก็เป็นไม้อีกชนิดหนึ่งที่นิยมมาก ซึ่งมีคุณสมบัติที่ดี คือ เนื้อไม้มีความแข็งแรงมาก สีไม้และเส้นลวดลายไม้ชัดเจนสวยงาม คนจึงนิยมใช้กันมาก ซึ่งนำมาใช้เป็นพื้นไม้ พื้นบันได หรือ ส่วนโครงสร้างในบ้านที่ต้องการโชว์ให้เห็นผิวไม้ที่มีความสวยงาม ทำให้ปัจจุบันไม้มะค่าหายากและมีราคาแพง ไม้มะค่าบางส่วนจึงนำเข้ามาจากแอฟริกาซึ่งภูมิอากาศแถบนั้นจะคล้าย ๆ บ้านเรา แต่สีของไม้จะไม่สวยเข้มเท่าไม้มะค่าในประเทศจึงไม่แปลกที่ไม้มะค่าจะมีราคาแพงกว่าไม้แดง
4. ไม้ตะแบก
เนื้อไม้สีน้ำตาลอ่อนอมเหลือง สีไม้อ่อนที่สุดในบรรดาไม้ในประเทศ จึงสามารถนำไม้ไปย้อมสีตามที่ต้องการได้ง่ายลายไม้มีความสวยงามใกล้เคียงกับไม้สัก และ ทำการไสตกแต่งได้ง่าย แต่ในขณะเดียวกันหากโดนความร้อนหรือความชื้นก็สามารถบิดและโก่งตัวได้ง่ายเช่นเดียวกันจึงนิยมนำมาใช้งานภายในเท่านั้น เช่น พื้นบ้าน บานประตู
5. ไม้ตะเคียน
เป็นไม้เนื้อแข็งมากเช่นเดียวกัน และเป็นไม้อีกชนิดที่นิยมนำมาใช้สร้างบ้าน ไม้ตะเคียนจะมีสีออกเหลืองทองแต่จะกลายเป็นสีน้ำตาลเมื่อทิ้งไว้นานและถูกแสงแดด นิยมนำมาทำวงกบ และพื้นไม้ เนื่องจากมีความคงทนสูง จึงสามารถนำไปต่อเรือได้เช่นเดียวกัน เนื้อของไม้ตะเคียนนั้นจะมีตำหนิที่เรียกว่า “รูมอด” ซึ่งมีลักษณะเป็นรูเล็ก ๆ อยู่ในเนื้อไม้ ซึ่งเป็นลักษณะทางธรรมชาติของไม้ชนิดนี้ หลายคนอาจจะกลัวว่าการที่ไม้มีรูแบบนี้ อาจจะทำให้ไม้ไม่ทนทาน แต่จริงๆ รูมอดที่เห็นนั้นไม่ได้มีผลต่อความแข็งแรงของไม้แต่อย่างใด
6. ไม้สัก
เป็นไม้เนื้อแข็งปานกลางที่มีลวดลายสวยงามและคุณภาพดีที่สุด เนื้อไม้มีสีน้ำตาลทอง ผิวลายไม้ตรงละเอียดสวยงามไม้เกิดการบิดงอโก่งตัวได้ยาก ไม้สักที่ดีจะต้องใช้เวลานานมากในการเจริญเติบโต ไม้สักที่มีอายุมากจะเกิดการผลิตน้ำมันธรรมชาติของสักซึ่งมีกลิ่นที่ปลวกไม่ชอบ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดความเชื่อว่าไม้สักไม่โดนปลวกกิน แต่หากเป็นสักปลูกที่โตเร็วจะไม่มีน้ำมันชนิดนี้สะสมอยู่ในเนื้อไม้ ปลวกจึงเลือกกินไม้สักชนิดนี้ได้เช่นกัน หรือที่เรียกไม้สักชนิดนี้ว่าเป็นไม้สักที่ได้จากป่าปลูก ซึ่งระยะเวลาการปลูกยังไม่ยาวนานพอที่จะเกิดน้ำมันตามธรรมชาติจึงแก้ปัญหาด้วยการอาบน้ำยากันปลวกแทนก็สามารถช่วยป้องกันปลวกได้อีกทางหนึ่ง ไม้สักมีหลายประเภท ได้แก่ สักทอง สักหิน และสักขี้ควาย ไม้สักที่ดีที่สุด คือ ไม้สักทอง ซึ่งในสมัยนี้ค่อนข้างที่จะหาได้ยากมาก แทบจะไม่มีการนำมาใช้เป็นไม้จริงล้วนๆ เนื่องจากมีราคาสูง นิยมนำมาทำเป็นไม้วีเนียร์เพื่อใช้ปะผิวไม้ชนิดอื่นแทน จะนิยมใช้ในงานที่มีราคาแพง เช่น นำไปใช้เป็นผิวของ เรือยอร์ช เนื่องจากไม้สักทองเป็นไม้ที่มีความสวยงามและคงทน จึงนิยมเลือกใช้ไม้ชนิดนี้เป็นส่วนประกอบโครงสร้างหรือส่วนต้องการ ความสวยงามประณีต เช่น บานประตู หน้าต่าง เฟอร์นิเจอร์
7. ไม้ยางพารา
จัดอยู่ในประเภทไม้เนื้อแข็งปานกลาง ในสมัยก่อนยังไม่ค่อยมีการนำมาใช้ในลักษณะของไม้แปรรูป แต่จากการที่ไม้ยางโตเร็วและมีมาก ทำให้สามารถนำมาใช้ในระบบอุตสาหกรรมได้ แต่เนื่องจากต้นยางนั้นจะมีสารอาหารของปลวกและเชื้อรา ทำให้เกิดการพัฒนากระบวนการปรับปรุงคุณภาพของไม้ด้วยการอัดน้ำยากันปลวกและอบแห้งเพื่อให้เนื้อไม้คงทนแข็งแรง ทำให้สามารถนำมาใช้งานได้มากยิ่งขึ้น เนื่องจากไม้ยางพารานั้นราคาไม่แพงหาได้ง่าย และมีข้อดีอีกอย่างคือ เป็นไม้สีอ่อนทำให้สามารถนำไปทำสีได้ง่ายด้วย ดังนั้นจะเห็นว่าเดี๋ยวนี้ได้มีการนำไม้ยางมาใช้งานกันอย่างกว้างขวาง และหลากหลายรูปแบบมากยิ่งขึ้น ด้วยเทคโนโลยีการต่อไม้แบบ FJL (Finger Joint Laminate) ที่สามารถนำไม้ยางท่อนสั้น ๆ มาต่อกันเพื่อให้ได้ไม้ยาวมากขึ้นซึ่งมีความแข็งแรงทนทานมาก และนิยมนำมาเป็นส่วนประกอบของบ้าน เช่น ประตู วงกบ-ประตู บันได พื้นไม้ เฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ
8. ไม้ประดู่
ลักษณะเนื้อไม้มีสีแดงอมเหลือง สีเส้นเสี้ยนแก่กว่าสีพื้น เนื้อละเอียดปานกลาง ไสตกแต่งและชักเงาได้ดี นิยมใช้ทำเครื่องเรือน เฟอร์นิเจอร์ หรือใช้ในงานก่อสร้างทั่วไปที่ต้องการความแข็งแรงทนทาน และเนื่องจากมีความคงทนสูงจึงสามารถนำไปต่อเรือได้ด้วย
9. ไม้ยาง
เป็นไม้คนละชนิดกับต้นยางพาราที่เรารู้จักกัน ลักษณะเนื้อไม้มีสีแดงเรื่อๆ หรือสีน้ำตาลหม่นเนื้อหยาบ แข็งปานกลางสามารถเลื่อยไสตกแต่งได้ดี นิยมใช้ในงานก่อสร้างทั่วไป เช่น ทำเป็นไม้ฝา หรือ ไม้โครงคร่าว เป็นต้น
10. ไม้กะบาก
ลักษณะเนื้อไม้โดยรวมมีสีตั้งแต่นวลเหลืองถึงน้ำตาลอ่อนแกมแดงเรื่อ ๆ เสี้ยนมักตรง เนื้อหยาบ แต่สม่ำเสมอ แข็งเหนียวเลื่อยไสตกแต่งได้ไม่ยาก มักนำมาใช้เป็นไม้โครงสร้าง อาทิ ทำเป็นไม้ฝาไม้โครงคร่าว หรือ ทำฝ้าเพดาน
ไม้เนื้ออ่อน
เป็นไม้ที่มีระยะเวลาการเจริญเติบโตเร็วทำให้มีวงปีที่กว้างลายไม้ที่ได้จึงน้อยและไม่ละเอียด เนื้อไม้เลยมีความแข็งแรงทนทานน้อยกว่าไม้เนื้อแข็ง ไม้ชนิดนี้จะมีสีของไม้แตกต่างกันออกไปมาก ตั้งแต่ไม้ที่มีสีจาง อ่อนไปจนถึงสีเข้ม เนื้อไม้ไม่แข็งมากจึงไม่นิยมนำมาใช้เป็นส่วนของโครงสร้างที่ต้องการรับน้ำหนัก และเนื่องจากเนื้อไม้อ่อนทำให้นิยมนำมาใช้สำหรับงานตกแต่งภายในหรือเฟอร์นิเจอร์หรือโครงสร้างที่ไม่ต้องรับน้ำหนักมากแต่ก็ไม่เหมาะที่จะใช้กับงานภายนอกที่ต้องตากแดดตากฝนไม้ฉำฉา (ไม้จามจุรี)เนื้อไม้หยาบสีออกขาว น้ำหนักเบาทำการเลื่อย ไส ผ่า และ ขัดเงาได้ง่ายนิยมใช้ทำลังปัจจุบันมีการนำมาใช้ในงานตกแต่งและทำเครื่องเรือนต่าง ๆ มากขึ้น และ รวมถึง ไม้มะม่วง ทุเรียน ขนุน เรียกได้ว่าเป็นหัวไร่ปลายนา เกิดจากการที่หาได้ง่าย มีมากและราคาถูก แต่เนื่องจากเป็นไม้เนื้ออ่อน จำเป็นต้องนำมาผ่านกรรมวิธีอัดน้ำยากันปลวกและอบแห้ง จึงสามารถนำมาใช้งานได้ดี ส่วนใหญ่จึงนิยมนำไม้มาทำ เฟอร์นิเจอร์ เพราะเนื้ออ่อนไสตัดตกแต่งได้ง่าย
ไม้ต่างประเทศ
ไม้ต่างประเทศส่วนใหญ่นั้นจะเป็นไม้เนื้ออ่อนซึ่งจะนิยมนำมาใช้เป็นไม้สำหรับงานตกแต่งเพื่อความสวยงาม ถ้าเป็นไม้สำหรับงานโครงสร้าง นิยมใช้ไม้สน เนื่องจากเป็นไม้โตไวและมีมาก ซึ่งปัจจุบันนี้ได้มีกรรมวิธีพัฒนาคุณสมบัติของไม้เพื่อให้มีความแข็งแรงทนทานมากขึ้นเพื่อนำมาใช้งานได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
1. ไม้โอ๊ค (Oak)
ไม้ตระกูลโอ๊คนั้นจัดเป็นไม้เนื้อแข็ง และเป็นไม้อุตสาหกรรม ด้วยปริมาณที่มีอยู่มากมายทำให้มีระดับราคาที่ค่อนข้างคงที่ ต่างจากไม้ในประเทศบ้านเรา ที่ระดับราคาเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับปริมาณและความหายากของไม้แต่ละชนิด ไม้โอ๊คเป็นไม้ที่มาจากทางฝั่งยุโรป อเมริกา จีน รัสเซีย ญี่ปุ่น แต่ไม่โอ๊คที่มีคุณภาพมักจะมาจากจีนและญี่ปุ่น เนื่องจากสภาพภูมิอากาศทำให้เติบโตช้า เนื้อไม้จึงมีความละเอียดมากกว่าทางฝั่งอเมริกา อย่างไรก็ตามไม้โอ๊คส่วนใหญ่ในอเมริกาเป็นป่าปลูกที่ตัดจากป่าธรรมชาติซึ่งมีระบบการปลูกทดแทนอย่างเป็นระบบก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเนื่องจาก มีปริมาณมากและราคาสมเหตุสมผล โดยเราสามารถแบ่งประเภทของไม้โอ๊คออกเป็น 2 ชนิด ด้วยกันคือ
1.1 ไม้โอ๊คแดง (Red Oak)
ไม้โอ๊คแดงปลูกมากทางฝั่งตะวันออกของอเมริกา เนื้อไม้ออกสีน้ำตาลเข้มอมแดง มีเสี้ยนที่ลึกเห็น
เด่นชัดสัมผัสไม้หยาบให้ความรู้สึกแน่น รก และหนัก ตามสไตล์บ้านฝรั่งที่เน้นการตกแต่งบ้านด้วยไม้ขนาดใหญ่โทนสีเข้ม ให้ความรู้สึกหนักและทึบตัน นิยมนำมาใช้ทำพื้น และเฟอร์นิเจอร์ไม้ ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่นิยมในบ้านเรา เนื่องจากสไตล์การตกแต่งบ้านแบบไทยเราเองหรือว่าสไตล์ที่กำลังเป็นที่นิยมในบ้านเราตอนนี้ จะเน้น ที่รูปแบบเรียบง่ายโปร่งเบาสบาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับรูปแบบและความรู้สึกที่ได้จากไม้โอ๊คแดงอย่างเห็นได้ชัด
1.2 ไม้โอ๊คขาว (White Oak)
ไม้โอ๊คขาวพบเห็นมากทางฝั่งตะวันออกของอเมริกาเช่นเดียวกัน เนื้อไม้ออกสีเหลืองอ่อน มีเสี้ยนที่
ถี่ละเอียด ผิวไม้เรียบกว่าไม้โอ๊คแดง ด้วยการที่ไม้โอ๊คขาวนั้นมีสีที่เหลืองอ่อน และผิวเรียบ จึงทำให้เป็นที่นิยมในหมู่นักออกแบบในบ้านเราที่จะเลือกไม้ชนิดนี้มาใช้ในงานกันมาก และแนวทางการแต่งบ้านสมัยนี้ก็นิยมชมชอบสไตล์โมเดิร์น ที่ให้ความสัมผัสเรียบง่าย และเบาสบายได้ดี
2. ไม้บีช (Beech)
เป็นไม้มาจากทางฝั่งยุโรป สีน้ำตาลออกขาวอมเหลือง หรืออมส้ม เป็นผลจากการนำไปผ่านกรบวนการ Steamไม้ เพื่อลดการโก่งตัวหรือบิดตัวของไม้ ทำให้ไม้มีสีออกส้มมากขึ้น ปกติจะทำการ Steam ประมาณ 24 ชั่วโมง แต่ถ้าไม่ต้องการสีออกส้มมากก็จะใช้เวลาเพียงครึ่งหนึ่งคือ 12 ชั่วโมงเท่านั้น ด้วยเนื้อไม้ของไม้บีชมีความละเอียดมาก ลายไม่เยอะ จึงนิยมนำมาทำพื้น และ เฟอร์นิเจอร์ ไม้บีชมีสีที่ค่อนข้างจะออกเป็นสีของเนื้อไม้ น้ำตาลอมส้มกลาง ๆ ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติของไม้ได้มาก แต่ บ้านเราจะนิยมใช้ไม้โอ๊คมากกว่า
3. ไม้เชอรี่ (Cherry)
เป็นไม้เนื้อแข็ง เนื้อไม้ออกสีน้ำตาลเหลืองหรือออกไปทางน้ำตาลแดง มีลักษณะคล้ายไม้มะค่าและไม้สัก ทำให้สามารถใช้แทนกันได้ เนื้อไม้มีลักษณะเรียบเท่ากันตลอดทำให้ทำงานง่ายและสวยงาม เหมาะกับการนำไปใช้ในงาน ตกแต่ง นิยมนำมาปูพื้น และทำเฟอร์นิเจอร์ แต่มีราคาแพงมากกว่าโอ๊คประมาณ 3 เท่า ซึ่งในบ้านเราไม่ค่อยมี และไม่นิยมใช้ ด้วยราคาที่แพงมาก
4. ไม้วอลนัท (Walnut)
เนื้อไม้มีสีน้ำตาลเข้ม มีราคาแพงมากพอ ๆ กับไม้เชอรี่ และไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไหร่นักส่วนใหญ่ที่พบเห็น
จะเป็นกระดาษสังเคราะห์ที่ทำเลียนแบบผิวลายไม้มาใช้สำหรับปิดผิวหน้าวัสดุสังเคราะห์หรือวัสดุทดแทนไม้ชนิดอื่น ๆ
5. ไม้เมเปิ้ล (Maple)
เนื้อไม้มีสีขาวครีมถึงน้ำตาลอมเหลืองหรืออมแดง ลายไม้และตาค่อนข้างเยอะ แต่ในตลาดที่เห็นส่วนใหญ่ จะเป็นไม้ที่ผ่านการคัดมาแล้วจึงมีตาไม้และลายน้อย เกรดที่แบ่งก็จะแบ่งได้จากสี ยิ่งขาวมากเกรดก็จะสูงมากและราคาก็จะสูงตามด้วย นิยมใช้ทำงานตกแต่งภายใน เหมาะที่จะทำพื้นเพราะจะทำให้บ้านดูสว่างและหรูหรา ส่วนราคานั้นจะแพงกว่าไม้โอ๊คประมาณ 2 เท่า แต่ในบ้านเราไม่เหมาะสมที่จะใช้ไม้ชนิดนี้ เพราะด้วยสีของไม้ที่อ่อนและอากาศบ้านเราที่ชื้นมาก อาจจะทำให้ใช้ไม้ไปนาน ๆ แล้วอาจจะเกิดเป็นราหรือลายดำที่เนื้อไม้ได้
6. ไม้แอช (Ash)
ลักษณะเนื้อมีสีเหลืองอ่อนจนเกือบขาว อารมณ์ที่ได้จากไม้ จะคล้ายไม้โอ๊คแต่ลายไม้แอชจะเลอะกว่า และ
แข็งแรงทนทานน้อยกว่า ด้วยคุณสมบัติที่ด้อยกว่าแต่มีลักษณะที่คล้ายกันก็พอที่จะใช้แทนกันได้บ้าง เพราะมีราคาที่ถูกกว่าด้วยเช่นกันนิยมที่จะนำไปทำเฟอร์นิเจอร์และงานตกแต่งภายในเพราะมีความสวยงามและราคาไม่แพงมาก
7. ไม้เวงเก้ง (Wenge)
ผิวเนื้อไม้มีลักษณะสีน้ำตาลเข้มมากจนถึงดำ สีเนื้อไม้เกิดจากธรรมชาติของไม้เอง ไม่ใช่จากการทำสี หรือผ่านการอบแต่อย่างใด ไม้เวงเก้เป็นไม้จากทางแอฟริกา ส่วนใหญ่ไม่นิยม นำมาทำเป็นส่วนโครงสร้างหรือไม้จริงขนาดใหญ่จะเน้นใช้เป็นส่วนประกอบหรือส่วนตกแต่งลวดลายต่าง ๆ ควบคู่กับไม้ชนิดอื่น หรือใช้เป็นผิววีเนียร์เท่านั้น เนื่องจากราคาที่แพงมาก และด้วยสีไม้เองเป็นไม้สีเข้ม จึงนิยมนำมาใช้เป็นส่วนตกแต่งภายในบ้าน ช่วยให้บ้านดูหรูหรา เรียบ เท่ หากมีพื้นที่ขนาดเล็กก็ไม่ควรใช้ไม้สีดำหรือเข้มจัดแบบไม้เวงเก้งเพราะจะทำให้บ้านดูทึบมืดจนเกินไป
8. ไม้สนเรดิเอต้า (Rediata Pine)
ไม้สนเรดิเอต้าเป็นไม้ที่นิยมปลูกกันมากในประเทศนิวซีแลนด์ ส่วนใหญ่จะนำไปใช้ในงานอุตสาหกรรมก่อสร้างทั่วไป เนื่องจากมีความแข็งแรงทนทานเพราะผ่านการอบแห้งและอัดน้ำยารักษาเนื้อไม้เพื่อป้องกันการบิดงอ หรือแตกตรงบริเวณปลายไม้ จึงใช้งานได้ทั้งภายในและภายนอก ไม่ว่าจะเป็นงานโครงสร้างหรืองานตกแต่งต่าง ๆ โดยทำเป็นพื้นผนัง และงาน เฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ มีหลายเกรดให้เลือกใช้งาน
9. ไม้ทิวลิป (Tulip Wood)
ลักษณะเนื้อไม้มีสีเหลืองอ่อน อาจมีลายสีเข้มพาดผ่านบ้าง เนื้อไม้มีความสม่ำเสมอและมีเสี้ยนตรงน้ำหนักเบาแต่ค่อนข้างเหนียวเมื่อแห้งแล้วไม้มีการหดตัวค่อนข้างสูง แต่สามารถทาสีเคลือบผิวได้ดี นิยมที่จะนำไปใช้ทำเครื่องเรือน เฟอร์นิเจอร์และงานตกแต่งภายใน เพราะมีความสวยงามและราคาปานกลาง
ขอขอบคุณที่มา : หนังสือ Sense of Wood